บัวหิมะธิเบต หรือ คีเฟอร์ (Kefir) บ้านเรานิยมเรียกว่า "บัวหิมะธิเบต" หรือ "น้ำหมักบัวหิมะ" ซึ่งก็คือ นมหมักคีเฟอร์นั่นเอง เกิดจุลินทรีย์ขนาดเล็กซึ่งประกอบด้วยยีสต์จากธรรมชาติ (Saccharomyces exiguus) และ Lactic acid Bacteria ซึ่งอยู่ร่วมกันในแบบที่พึ่งพาอาศัยกันและยึดเกาะกันด้วยสารที่มีลักษณะเป็นเมือกเหนียวๆจนเกิดการก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างคล้ายดอกกะหล่ำ โดยมีสีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดข้าว โดยจะมีกลิ่นอ่อนๆของยีสต์ (คล้ายเบียร์) ซึ่งจะเจริญเติบโตด้วยการเพาะเลี้ยงในอาหารชนิดต่างๆ ซึ่งแต่ละชนิดจะให้คีเฟอร์ที่มีขนาดและลักษณะแตกต่างกันออกไป ซึ่งนิยมเลี้ยงในน้ำนม อย่างนมวัว นมแพะ นมแกะ เป็นต้น
ข้อควรรู้ อ่านก่อนสำคัญมาก !!
- บัวหิมะธิเบต หรือคีเฟอร์ (Kefir) จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับเห็ดและยีสต์
- บัวหิมะคีเฟอร์ ประกอบไปด้วยแบคทีเรียและยีสต์ที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสัมพันธุ์ทางบวก
- โยเกิร์ตบัวหิมะ (Kefir) แตกต่างกับโยเกิร์ตธรรมดาตรงที่หัวเชื้อที่ใช้ในการหมัก โดยการหมักโยเกิร์ตธรรมดาจะใช้หัวเชื้อ Lactobacillus แต่คีเฟอร์จะใช้หัวเชื้อที่มีลักษณะเป็นก้อนเหนียวยืดหยุ่น คล้ายดอกกะหล่ำ ที่เรียกว่า Kefir grain
- ความเป็นมาของบัวหิมะคีเฟอร์มาจากอาจารย์ท่านหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งในขณะที่ได้ทำงานอยู่ที่ประเทศอินเดียและทิเบต เขาได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ พระที่ทิเบตได้นำบัวหิมะมาให้กินเพื่อรักษาอาการป่วย หลังจากนั้น 18 เดือนอาการป่วยของเขาได้หายไป และก่อนจะเดินทางกลับเขาจึงขอบัวหิมะจากพระรูปนั้นมา ถัดมาจึงได้มีการนำบัวหิมะเข้ามาสู่ทวีปยุโรปและเอเชีย
- การเพาะเลี้ยงคีเฟอร์ในอาหารแต่ละชนิด จะทำให้คีเฟอร์มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
- นมที่สามารถนำมาใช้ทำโยเกิร์ตคีเฟอร์ได้ ก็มาจากนมจากสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วอัลมอน มะพร้าว กะทิ เป็นต้น นมที่มาจากพืชตระกูลข้าว เช่น ข้าว ข้าวบาร์เล่ย์ เป็นต้น และนมที่มาจากพืชตระกูลเมล็ดเล็ก เช่น ป่าน ฟักทอง งา เป็นต้น
- นมที่นิยมนำมาใช้ทำกันมากคือ นมวัว นมแพะ และนมถั่วเหลือง
- นมชนิดที่ดีที่สุดที่นำมาใช้ทำคีเฟอร์ คือ นมแพะ เพราะย่อยง่ายกว่านมวัว และพบอาการแพ้ได้น้อยกว่านมวัว
- นอกจากนมแล้วก็สามารถใช้เครื่องดื่มอื่นๆมาใช้ทำคีเฟอร์แทนนมได้ แต่เครื่องดื่มประเภทนั้นๆต้องมีน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารของคีเฟอร์ เช่น คีเฟอร์ที่ทำจากน้ำผลไม้หรือน้ำหวานต่างๆ ซึ่งเราจะเรียกว่า "คีเฟอร์น้ำ" (Water Kefir) ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวของคีเฟอร์มากกว่า 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็น อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ
- แล้วคีย์เฟอร์แบบน้ำกับแบบนม อันไหนดีกว่ากัน? สรุปแล้วทั้งสองต่างมีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน จะแตกต่างตรงที่คีเฟอร์แบบนมจะมีจุลินทรีย์มากกว่าคีเฟอร์แบบน้ำเกือบเท่าตัว !!
- ความหนืดของคีเฟอร์เป็นตัวบอกได้ถึงการเจริญโตของบัวหิมะ ยิ่งหนืดยิ่งดี
- ถ้าจำนวนบัวหิมะคีเฟอร์ลดจำนวนลงเรื่อยๆ นั้นแสดงว่าบัวหิมะบางส่วนได้ตายแล้ว
- หากเลี้ยงคีเฟอร์ไปเรื่อยๆ แล้วเมล็ดมันเล็กลงก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วซึ่งอาจมีได้หลายขนาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
- แล้วถ้าเลี้ยงคีเฟอร์เรื่อยๆจนมันก้อนใหญ่เกินไป จะนำมาตัดแบ่งส่วนได้หรือไม่? การตัดคีย์เฟอร์จะเป็นการไปทำลายโครงสร้างของมัน แต่ถ้าอยากจะแบ่งก็ควรใช้มือดึงมันออกจากกันเบาๆ เพื่อเป็นการถนอมโครงสร้างเดิมของมันให้คงอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด
- การเลี้ยงคีเฟอร์อย่างไม่เหมาะสมเช่นการเติมนมที่เยอะเกินไปหรืออยู่ไม่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อุณหภูมิผิดปกติอาจจะทำให้คีเฟอร์เหลวเละ ดูพองบวม และไม่เป็นลักษณะยางยืดเหมือนเคย นั่นแสดงว่ามันกำลังไม่มีความสุขหรือมันกำลังจะตาย ดังนั้นควรเอาใจใส่ในการเลี้ยงด้วย
- รู้หรือไม่ว่าคีเฟอร์มีประโยชน์มากกว่าโยเกิร์ต? เพราะมีจุลินทรีย์ถึง 41 ชนิด ในขณะที่โยเกิร์ตมีเพียง 4 ชนิด !
- นมที่มาจะมีรสชาติออกเปรี้ยวโดยจะมีคุณสมบัติเป็นยา นำมาดื่มทุกวันก่อนนอนเป็นเวลา 20 วัน และหยุดพักการดื่มอีก 10 วันวนไปเรื่อยๆ แต่บางคนบอกว่ากินทุกวันก็ได้
- บัวหิมะไม่จำเป็นต้องล้างด้วยน้ำทุกวันก็ได้ เมื่อกรองนมโยเกิร์ตออก ก็เทนมใหม่ต่อใส่ได้เลย เพราะคลอรีนในน้ำจะไปทำลายการเจริญเติบโตของบัวหิมะ แต่ภาชนะที่ใส่ก็ต้องล้างให้สะอาดด้วย
- สำหรับบางคนที่เริ่มกินครั้งแรกแล้วมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ไม่ต้องตกใจคิดไปว่าฉันแพ้บัวหิมะแน่ๆ !! ความจริงแล้วบัวหิมะกำลังขับสารพิษในร่างกายอยู่นั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่เริ่มกินแนะนำว่าควรลดปริมาณการกินช่วงแรกให้น้อยลงจากปกติ แล้วค่อยปรับไปเรื่อยๆจะดีกว่า
- สำหรับบางรายกินแล้วมีอาการท้องผูก เพราะรับประทานมากเกินไปจึงทำให้ลำไส้ไม่สมดุล
- โยเกิร์ตบัวหิมะเมื่อนำมาพอกหน้า บางครั้งอาจมีอาการคันยิบๆเล็กน้อย แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผิวบริเวณนั้นอาจเป็นสิว หรือแผลสิว หรือผิวที่กำลังแห้งลอก ซึ่งบัวหิมะจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยสมานผิวให้หายเป็นปกตินั่นเอง
- การเอาใจใส่ในการเลี้ยงบัวหิมะให้ดี จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง
- มีความเชื่อว่าถ้าหากเลี้ยงบัวหิมะจนเจริญเติบโตดีแล้วหรือมีมากเกินความต้องการ ให้นำไปแจกจ่ายให้ญาติและมิตรสหาย
- มีความเชื่อว่าห้ามจำหน่ายบัวหิมะ (ซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะต่างประเทศเขาขายกันเป็นปกติ)
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ (Kekir)
1. เมื่อได้รับบัวหิมะมาแล้ว (จะมาในสภาพที่แช่อยู่ในนม) โดยบัวหิมะประมาณ 2.5 ช้อนโต๊ะสามารถทำได้ 1 แก้ว
2. ลักษณะก่อนกรองมันจะดูเหมือนโยเกิร์ต มีรสและกลิ่นเปรี้ยว แต่ไม่เสีย ถึงจะเปรี้ยวมากแค่ไหนก็กินได้ (มันไม่เหมือนกลิ่นเปรี้ยวแบบนมเสียนมบูดนะ) และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และถ้าเห็นเป็นฟองๆ ก็ไม่ต้องตกใจเพราะมันเป็นเรื่องปกติ
3. หลังจากนั้นให้นำมากรองด้วยการแยกนมออกจากบัวหิมะ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้กรองนั้นก็คือกระชอนกรองที่เป็นพลาสติกหรือกระชอนช้อนปลาก็ได้และไม่ต้องใหญ่เกินไปสักขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.5 นิ้วกำลังดี แต่จะต้องไม่ใช่โลหะหรือเหล็กเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและลดโอกาสปนเปื้อนจากสารตะกั่ว (และห้ามไม่ให้บัวหิมะสัมผัสโลหะที่มีส่วนผสมของเงินเด็ดขาด เพราะจะไปทำลายโครงสร้างบางอย่างของแบคทีเรียในคีเฟอร์)
4. นำนมที่ได้จากการกรองมาดื่ม (การดื่มทันทีจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าอยากเก็บไว้ดื่มวันหลังก็นำไปแช่เย็น ซึ่งจะเก็บไว้ได้แค่ 2-3 วัน)
5. ถัดมาก็ทำความสะอาดบัวหิมะโดยให้น้ำไหลผ่านให้สะอาด ถ้าเป็นน้ำกลั่นที่ปราศจากสารคลอรีนจะดีมาก(การทำความสะอาดอย่างดี จะช่วยให้สุขภาพของผู้ดื่มยมดีตามไปด้วย)
6. นำบัวหิมะที่ทำความสะอาดใส่ลงไปในแก้วพลาสติกหรือภาชนะที่สะอาดดีแล้ว
7. แล้วใส่นมลงไปประมาณ 8 ออนซ์ (แต่ถ้าได้รับบัวหิมะมาในช่วง 1 สัปดาห์แรก ปริมาณอาจมีน้อยควรใส่นมแค่พอให้ท่วมหมด ไม่ต้องใส่หมดกล่อง เพื่อให้บัวหิมะได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อน)
8. นำผ้าบางๆมาปิดฝาเพื่อป้องกันแมลงวันและแมลงหวี่มาตอมหรือฝักไข่ แล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณหนึ่งวัน (ห้ามแช่เย็น เพราะจะเป็นการชะลอการเจริญเติบโตของบัวหิมะ บัวหิมะชอบอากาศร้อนชื้น และจะเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิปกติ)
9. หลังจากนั้นหาภาชนะนำมาใส่น้ำลองแก้วนมอีกที เพื่อป้องกันมด
10. แล้วนำมากรองเพื่อดื่มนมเหมือนใหม่ (ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ)
11. หากไม่อยู่บ้าน 2-3 วันหรือต้องการหยุดใช้ชั่วคราว ก็ให้ใส่นมแค่พอท่วมบัวหิมะ แล้วแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
12. หากต้องการหยุดใช้ หรือไม่อยู่บ้านเกินกว่า 4-5 วันขึ้นไป ให้นำบัวหิมะมาล้างให้สะอาด ผึ้งให้แห้งพอหมาดๆ ไม่ต้องใส่นม แล้วนำไปแช่ช่องแช่แข็ง (เพื่อหยุดยั้งการเจริญโต) เมื่อจะกลับมาใช้อีกครั้งให้นำไปล้างน้ำเพื่อให้หายแข็งตัว ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิอุ่นขึ้นแล้วค่อยใส่นม
บัวหิมะสรรพคุณ (คีเฟอร์)
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยในการชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย
- เป็นยาจากธรรมชาติที่ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย
- ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ความเป็นกรด-ด่าง ให้เป็นปกติ
- ช่วยบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการเหนื่อยล้า
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
- ช่วยลดความเครียด รักษาอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดี
- ช่วยทำให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและการแพร่ขยายตัวของเซลล์มะเร็ง
- มีส่วนช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก
- ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวให้แก่ร่างกาย
- ช่วยบำรุงหัวใจ ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ อย่างโรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกาย
- ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารจำพวกน้ำตาล
- ช่วยควบคุมคุมน้ำหนักในร่างกาย
- ช่วยรักษาอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส
- ช่วยบำรุงและเสริมสร้างกระดูกและฟัน
- ช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยลดอาการไข้
- ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้
- ช่วยรักษาโรคเมตาบอลิกซินโดรม (อ้วนลงพุง)
- ช่วยรักษาโรควัณโรค
- ช่วยบำบัดรักษาโรคปอด
- ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ ลำไส้เล็กส่วนต้น และช่วยบำรุงลำไส้
- ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานปกติและดียิ่งขึ้น ลำไส้บีบตัวได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
- เป็นอาหารที่เหมาะกับทารกหรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
- ช่วยแก้ปัญหาอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ
- ช่วยบำรุงตับ ไต และรักษาตับ ไตอักเสบ
- ช่วยรักษาโรคของถุงน้ำดี นิ่วในถุงน้ำดี และช่วยละลายก้อนนิ่วในไต
- ช่วยรักษาแผลพุพอง น้ำร้อนลวก
- นำมาใช้ทาเพื่อรักษาโรคผิวหนังต่างๆ เช่น เชื้อราบนผิวหนัง กลาก เกลื้อน เป็นต้น
- การดื่มคีเฟอร์ช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ป่วยโรคมะเร็งมีอาการดีขึ้น (ผลการวิจัยยังไม่ชัดเจน)
- ช่วยลดอาการแพ้ยาหรือเซรุ่มชนิดต่างๆ
- ช่วยรักษาสารพิษจากยาเสพติดในร่างกาย
- ใช้เลี้ยงทารกที่คลอดก่อนกำหนด ช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ของเด็กทารก
- ช่วยป้องกันและรักษาโรคตับอ่อนในเด็ก โรคปอดบวม ปลอดลมอักเสบในเด็กที่อายุกว่า 2 ขวบ
- มีสารต่างๆอย่างวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุไอโอดีน วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี5 วิตามินบี6 วิตามินบี12 กรดโฟลิก ไบโอตินวิตามินดี วิตามินเค เป็นต้น
- โยเกิร์ตบัวหิมะ นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที (หรือจนกว่าจะแห้ง) เพื่อช่วยให้หน้าขาวเนียนใส รักษาสิวแผลสิว และช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน
- นมหมักคีเฟอร์ช่วยให้อยู่ท้องอิ่มนาน
- บัวหิมะรักษาสิว ด้วยการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางที่ช่วยในเรื่องของการรักษาสิว กระชับรูขุมขน ทำให้หน้าเต่งตึงอ่อนเยาว์
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://en.wikipedia.org/wiki/Kefir
No comments:
Post a Comment